www.trueplookpanya.com

counter

วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

น้ำมีประโยชน์อย่างไร

น้ำ" มีประโยชน์อย่างไร

ทุกคนคงเคยเห็นการตั้งน้ำพุ, โอ่งน้ำล้น, บ่อปลา,น้ำตก หรือ แม้กระทั่งน้ำนิ่งในบ้านหลายๆหลัง เพื่อหวังผลทางด้านฮวงจุ้ย โดยยังไม่ได้มีความรู้ในการใช้งานอย่างถ่องแท้ ซึ่ง ”ฮวง” นั้นแปลว่า ”ลม” ส่วน ”จุ้ย” นั้นแปลว่า ”น้ำ” ดังนั้นหากเราต้องการจะเข้าใจในศาสตร์ฮวงจุ้ยอย่างถ่องแท้แล้วเราต้องมีความเข้าใจในธรรมชาติของ ”ลม” และ ”น้ำ” อย่างละเอียด ซึ่งในบทความนี้เราจะมาศึกษาถึงประโยชน์ของน้ำในทางฮวงจุ้ย โดยในทางฮวงจุ้ยแล้วเราแบ่งการใช้ประโยชน์ของน้ำออกเป็น 3 รูปแบบ คือ การกักเก็บพลังงาน, การกระจายพลังงาน และ การเกิดปฎิกริยาธาตุ เราต้องเข้าใจกลไกการใช้งานก่อนถึงจะสามารถเลือกรูปแบบของการใช้น้ำได้ถูกต้อง

1. การใช้น้ำสำหรับการกักเก็บพลังงาน โดยเราสามารถใช้น้ำในการกักเก็บพลังงานได้ เนื่องจากคำกล่าวของเคล็ดวิชาว่า ”พลังงานนั้นมากับลมและสะสมตัวที่น้ำ” เราสามารถสังเกตได้ว่าน้ำนั้นมีความสามารถในการกักเก็บพลังงานมากกว่าพื้นดินธรรมดา เราสามารถเห็นได้จากในเวลากลางคืนจะเกิดปรากฎการณ์การเกิด ”ลมบก” เป็นเพราะว่าเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ”พื้นน้ำ” จะมีความสามารถในการกักเก็บพลังงานมากกวา ”พื้นดิน” เมื่ออุณหภูมิที่หน้าพื้นน้ำร้อนกว่าพื้นดิน อากาศที่ผิวน้ำจะลอยสูงขึ้นและอากาศที่พื้นดินจะเคลื่อนตัวในแนวนอนมาแทนที่จึงทำให้เกิดลมบก จากปรากฏการณ์นี้เราเห็นว่าหากเรามี ”แหล่งน้ำ” อยู่ในบริเวณใกล้ๆบ้านของเรา จะมีความสามารถในการกักเก็บพลังงานได้ดีกว่าพื้นดินธรรมดา ดังนั้นหากเราพบว่ามีกระแสอากาศพัดผ่านมาทางด้านใดของบ้านเรา การมีแหล่งน้ำจะถือว่าทำให้เรามีตัวช่วยในการกักเก็บพลังงานได้ดี
ภาพแสดงสระน้ำใช้ในการกักเก็บพลังงาน
(ภาพจาก www.residentialarchitect.com)

2. การใช้น้ำสำหรับการกระจายพลังงาน เช่น การใช้น้ำพุ หรือ โอ่งน้ำล้น เพราะเมื่อ ”น้ำ” มีการตกลงจากที่สูงลงต่ำ จะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของพลังงานศักย์จากจุดที่สูงกว่าให้เกิดเป็นพลังงานจลน์ในรูปแบบของน้ำที่ตกที่ตกจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำตามธรรมชาติด้วยแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งเป็นหลักการที่นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันใช้ในการสร้างเขื่อนเพื่อต้องการพลังงานจลน์ดังกล่าวไปผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้านั่นเอง ดังนั้นหากเรามีความสามารถในการคำนวณหาทิศทางที่มีโชคลาภประจำยุคปัจจุบัน พศ. 2547-2567 หรือโชคลาภประจำปีได้แล้ว เราสามารถจะกระตุ้นให้เกิดพลังงานโชคลาภดังกล่าวได้ โดยการตั้งน้ำพุ หรือ โอ่งน้ำล้น เพื่อกระจายพลังงานที่ดีให้ออกมามากเป็นพิเศษ

อย่างไรก็ตามหากเราตั้งน้ำพุ หรือ โอ่งน้ำล้น โดยไม่มีความรู้ในการคำนวณองศาทิศทางแล้ว การตั้งน้ำพุหรือโอ่งน้ำล้นนั้น อาจทำให้เราพบกับความเสื่อมได้หากเราไปตั้งในทิศทางที่ไม่ดีในช่วงเวลาประจำยุคหรือประจำปีนั้นๆ ดังนั้นการตั้งน้ำสำหรับการกระจายพลังงานนั้นถอว่ามีความเสี่ยงมากกว่าการใช้น้ำเพื่อการกักเก็บพลังงานตามข้อแรก

อนึ่ง การมีบ่อปลานั้นถือได้ว่าเป็นการใช้น้ำสำหรับการกระจายพลังงานเช่นเดียวกัน โดยเป็นการเกิดลักษณะพลังงานชนิดคลื่น
ภาพแสดงน้ำพุใช้ในการกระจายพลังงาน
(ภาพจาก www.barcelonaexperience.com)

3. การเกิดปฏิกริยาธาตุ โดยหากเราพบว่ามุมใดของบ้านเรามีพลังธาตุไม้หรือธาตุน้ำในรูปแบบพลังงานที่ดีสะสมตัวอยู่ การที่เรามีแหล่งน้ำในบริเวณนั้น จะถือว่าเป็นการกระตุ้นปฏิกริยาของการก่อเกิดคือ ”น้ำก่อเกิดไม้” และ ปฏิกริยาส่งเสริมคือ ”น้ำส่งเสริมน้ำ” โดยหลักการในข้อนี้จะถือว่าเป็นหลักการปรับฮวงจุ้ยในขั้นที่สูงขึ้นไป ซึ่งรายละเอียดมีมากไม่สามารถกล่าวในที่นี้ได้
ภาพแสดงวงจรของปฏิกริยาธาตุ
ท้ายสุดนี้หวังว่าทุกท่านคงมีความเข้าใจในการใช้ประโยชน์จากน้ำมากขึ้นแล้วไม่จำเป็นว่ามีน้ำแล้วต้องดี ส่งเสริมโชคลาภและความเจริญรุ่งเรืองเสมอไป การคำนวนองศาทิศทางเพื่อหาพลังงานที่ดีเพื่อกักเก็บหรือกระจายพลังงานนั้นมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน หากยังไม่มีความรู้ในการใช้งาน “จุ้ย” หรือ “น้ำ” อย่างจริงจัง ขอให้ปรึกษาซินแสผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ประโยชน์ในการจัดฮวงจุ้ยสูงที่สุดครับ

อ่านหนังสืออย่างไรไห้จำแม่น


1. เวลาอ่านบทเรียนหรือตำรา ให้อ่านอย่างตั้งใจ แต่ทว่าเราจะไม่อ่านไปเรื่อยๆ คือเราจะหยุดอ่านเมื่อจบย่อหน้าหรือหยุดเมื่ออ่านไปได้พอสมควรแล้ว
2. จากนั้นให้ปิดหนังสือ แล้วลองอธิบายสิ่งที่ตนเองได้อ่านมาให้ตัวเองฟังคือ เราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังด้วยภาษาสำนวนของเราเอง ฟังแล้วเข้าใจหรือเปล่า หากเราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังรู้เรื่อง แสดงว่าเราเข้าใจแล้ว ให้อ่านต่อไปได้
3. หากตอนใดเราอ่านแล้ว แต่ไม่สามารถอธิบายให้ตัวเองรู้เรื่อง แสดงว่ายังไม่เข้าใจ ให้กลับไปอ่านทบทวนใหม่อีกครั้ง
4. หากเราพยายามอ่านหลายรอบแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจจริงๆให้จดโน้ตไว้เพื่อนำไปถามอาจารย์ จากนั้นให้อ่านต่อไป
5. ข้อมูลบางอย่างในตำราจำเป็นที่จะต้องท่องจำ เช่น ตัวเลข สถิติ ชื่อสถานที่ บุคคล หรือ สูตรต่างๆ ฯลฯ ก็ควรท่องจำไว้ด้วย เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจ ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
6. การเรียนด้วยวิธีท่องจำ โดยปราศจากความเข้าใจ เรียนไปก็ลืมไป สูญเสียเวลาเปล่าประโยชน์ เสียเงินทอง
7. การเรียนที่เน้นแต่ความเข้าใจ โดยไม่ยอมท่องจำ ก็จะทำให้เราเข้าใจเรื่องต่างๆไม่ชัดเจน คลุมเครือ
8. ดังนั้นควรมีเทคนิคง่ายๆ สั้นๆ ดังต่อไปนี้
ก.ให้อ่านหนังสือ สลับกับ การอธิบายให้ตัวเองฟัง
ข.ให้ท่องจำเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นต้องจำจริงๆ เช่น ตัวเลข ชื่อเฉพาะต่างๆ 1. เวลาอ่านบทเรียนหรือตำรา ให้อ่านอย่างตั้งใจ แต่ทว่าเราจะไม่อ่านไปเรื่อยๆ คือเราจะหยุดอ่านเมื่อจบย่อหน้าหรือหยุดเมื่ออ่านไปได้พอสมควรแล้ว
2. จากนั้นให้ปิดหนังสือ แล้วลองอธิบายสิ่งที่ตนเองได้อ่านมาให้ตัวเองฟังคือ เราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังด้วยภาษาสำนวนของเราเอง ฟังแล้วเข้าใจหรือเปล่า หากเราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังรู้เรื่อง แสดงว่าเราเข้าใจแล้ว ให้อ่านต่อไปได้
3. หากตอนใดเราอ่านแล้ว แต่ไม่สามารถอธิบายให้ตัวเองรู้เรื่อง แสดงว่ายังไม่เข้าใจ ให้กลับไปอ่านทบทวนใหม่อีกครั้ง
4. หากเราพยายามอ่านหลายรอบแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจจริงๆให้จดโน้ตไว้เพื่อนำไปถามอาจารย์ จากนั้นให้อ่านต่อไป
5. ข้อมูลบางอย่างในตำราจำเป็นที่จะต้องท่องจำ เช่น ตัวเลข สถิติ ชื่อสถานที่ บุคคล หรือ สูตรต่างๆ ฯลฯ ก็ควรท่องจำไว้ด้วย เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจ ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
6. การเรียนด้วยวิธีท่องจำ โดยปราศจากความเข้าใจ เรียนไปก็ลืมไป สูญเสียเวลาเปล่าประโยชน์ เสียเงินทอง
7. การเรียนที่เน้นแต่ความเข้าใจ โดยไม่ยอมท่องจำ ก็จะทำให้เราเข้าใจเรื่องต่างๆไม่ชัดเจน คลุมเครือ
8. ดังนั้นควรมีเทคนิคง่ายๆ สั้นๆ ดังต่อไปนี้
ก.ให้อ่านหนังสือ สลับกับ การอธิบายให้ตัวเองฟัง
ข.ให้ท่องจำเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นต้องจำจริงๆ เช่น ตัวเลข ชื่อเฉพาะต่างๆ

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วิธีผิวสวย

>> ผิวสวยด้วย วิตามินซี>> อาหารผิว
17 วิธี ผิวสวย ไร้สิว
1.สูตรขจัดสิวหัวดำนำมะเขือเทศสดมาปั่นรวมกับข้าวโอ๊ตให้เข้ากัน แล้วผสมน้ำผึ้งสักเล็กน้อยนำมาทา บนใบหน้าให้ทั่ว เน้นเป็นพิเศษบริเวณที่มีสิวหัวดำ แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น
2.มาร์คพอกหน้าสูตรใบเตยนำใบเตย4-5 ใบมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วนำไปปั่นรวมกับไข่ไก่ 2ช้อนโต๊ะจะได้มาร์คพอกหน้าเป็นครีมข้นๆ หอมกลิ่นใบเตย พอกหน้าไว้ประมาณ 5-10 นาที แล้วล้างหน้าตามปกติ
3.ถนอมผิวหน้าด้วยโยเกิร์ตล้างหน้าให้สะอาด ซับเบาๆด้วยผ้าขนหนู แล้วใช้มือแตะโยเกิร์ต(ให้ใช้ชนิดที่ไม่ผสมเนื้อผลไม้) มาพอกให้ทั่วผิวหน้า เว้นรอบปากและดวงตา นวดและคลีงเบาๆ พอกไว้ประมาณ 20 นาที จึงล้างออก หมั่นทำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ผิวจะเปล่งปลั่งสดใสอมชมพูทีเดียวค่ะ
4.ครีมพอกหน้าสำหรับสาวผิวมันและผิวผสมให้ใช้แตงกวา1 ผล ไขไก่ 1 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่ขาว) และมะนาว 1 เสี้ยว หั่นแตงกวาเป็นแว่นบางๆ นำไปปั่นพร้อมกับไข่ขาวและบีบน้ำมะนาวลงไป ปั่นจนละเอียดเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตาไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยสมานผิวหน้า กระชับรูขุมขน ช่วยให้ผิวหน้าเรียบเนียน เต่งตึง และนวลนุ่มชุมชื่น
5.เพื่อเรียวขาสวยก่อนนอน นำมะนาวเปรี้ยวๆสักหนึ่งเสี้ยว บีบลงในดินสอพองพอหมาด ทาให้ทั่วขา ทิ้งไว้สักหนึ่งคืน รุ่งเช้าค่อยล้างออก แม้จะไม่ทำให้ขาเนียนขึ้นทันตาเห็น แต่หากทำเป็นประจำ ยืนยันว่าได้ผลค่ะ
6.ลบรอยกระด่างดำบนใบหน้าด้วยมะละกอสุกนำมะละกอสุกมายีให้ละเอียด พอกหน้า ทิ้งไว้ สัก 10 นาที แล้วจึงล้างออก จะช่วยให้ ใบหน้าที่มีรอยด่างดำดูดีขึ้น
7.สูตรรักษาฝ้าคั้นน้ำมะขามเปียก ให้ค่อนข้างใสสักหน่อย ตั้งไฟอ่อน รอจนสุก จึงใส่น้ำผึ้งลงไปคนให้เข้ากัน ขั้นตอนนี้ต้องทำพร้อมกัน คือมือหนึ่งเท อีกมือก็คนให้ทั่ว นำมาทาหน้า วันละ 1 ชั่วโมง ช่วยรักษาฝ้า และทำให้ผิวหน้านวลใสขึ้น
8.สูตรสาวหน้าใสส่วนผสม น้ำผึ้ง น้ำมะนาว ผสมน้ำผึ้ง 1 ถ้วย น้ำมะนาว 1 ช้อนชา เข้าด้วยกัน นำมานวดให้ทั่วใบหน้า มะนาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิว เหมือนครีมที่มีส่วนผสมAHA นั่นแหละ ส่วนน้ำผึ้ง ทำให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื่น นวดประมาณ 15 นาที
9.สูตรลดริ้วรอยเลือกใช้ผลไม้ที่หาง่าย จะเป็นแอปเปิ้ล กล้วยหอม แตงกวา หรือมะเขือเทศก็ได้ค่ะ ใช้ปริมาณ 1 ถ้วย นำมาปอกเปลือกและเอาเมล็ดออก นำไปปั่นให้เนื้อละเอียด นำเนื้อผลไม้ที่เตรียมไว้ มาพอกให้ทั่วหน้า ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก และล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นอีกครั้ง จะทำให้ผิวหน้าเนียนนุ่ม เกลี้ยงเกลา แลดูสดใส
10.สูตรกระชับรูขุมขนกล้วยหอม แตงกวา มะเขือเทศ (เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง) ปอกเปลือก เอาเมล็ดออก แล้วหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เติมนมเปรี้ยวหรือน้ำผึ้งลงไป นำไปปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อครีม นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ ประมาณ 15 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะช่วยทำความสะอาดใบหน้า และช่วยกระชับรูขุมขน และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น
11.สูตรพิฆาตสิวเสี้ยนนำไข่ขาว มาทาบาง ๆ บริเวณที่มีสิวเสี้ยน แล้วใช้กระดาษทิชชูหรือกระดาษซับหน้าแค่ชั้นเดียว วางทับลงไป รอให้แห้ง แล้วค่อย ๆ ดึงกระดาษออก โดยดึงจากมุมด้านล่าง สิ้วเสี้ยนที่เคยเป็นเสี้ยนหนามตำใจจะหลุดออกมาอย่างง่ายดายค่ะ
12.เคลนเซอร์สำหรับทุกสภาพผิวโยเกิร์ต 1/2 ถ้วยน้ำมันดอกทานตะวัน 1 ช้อนโต๊ะน้ำมะนาว 1 1/2 ช้อนโต๊ะ (คั้นสด ๆ นะคะ)นำส่วนผสมทั้งหมด มาผสมให้เข้ากัน พอกให้ทั่วหน้าทุกเช้าและก่อนนอน แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดจะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึก และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วย
13.สูตรสาวผมสวยผมนุ่มสลวยด้วยแชมพูจากมะกรุด วิธีทำ ใส่น้ำ2 แก้ว ลงไปต้มให้เดือด ใส่มะกรูด 1 ลูก ผ่าซีกลงไป ปิดฝาปิดไฟ ทิ้งไว้ 5 นาที นำมากรองเอาแต่น้ำ นำน้ำมะกรูดที่ได้มาสระผม จะช่วยให้ผมนุ่มสลวยแถมและไร้รังแคด้วยค่ะ
14.ครีมนวดผมสำหรับผมแห้งน้ำมันมะพร้าว 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับ ไข่แดง 1 ฟอง นำมาตีให้เข้ากัน นวดให้ทั่วศีรษะ ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมงจะทำให้ผมนิ่มสลวย ดูมีน้ำหนัก และจัดทรงง่าย
15.ผมสวยด้วยแชมพูไข่ถ้าผมแห้งมาก ใช้ไข่ 1 ฟอง เลือกเอาเฉพาะไข่แดง ตีให้ละเอียดผสมน้ำอุ่นเล็กน้อย หลังจากสระผมนำมาหมักให้ทั่วเส้นผม โดยทิ้งไว้ 10 นาที จึงล้างออก จะทำให้เส้นผมนุ่มสลวย ไม่หยาบมือ
16.ทรีทเม้นท์ไข่และแตงกวานำไข่ (ใช้ทั้งไข่ขาวและไข่แดง) ตีให้เข้ากัน เติมน้ำมันมะกอกลงไปในปริมาณที่ใกล้เคึยงกัน นำมาผสมกับแตงกวาซึ่งปั่นจนละเอียด (ใช้ 1/4 ลูก) พอกให้ทั่วเส้นผมประมาณ 10 นาที ทำเพียงเดือนละครั้ง ช่วยบำรุงผมให้นิ่มสลวย เหมาะกับผมที่แห้งกรอบจากความร้อน
17.ครีมนวดผมสูตรน้ำผึ้งน้ำผึ้ง 1/2 ถ้วย น้ำมันมะกอก 1/4 ถ้วย ถ้าผมไม่แห้งนักใช้เพียง 2 ช้อนโต๊ะก็พอ

วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วิธีเรียนเก่งมาก



function check_lockmenu(){
if(document.frm_lockmenu.password_lockmenu.value==""){
alert("กรุณากรอกรหัสผ่าน");
document.frm_lockmenu.password_lockweb.focus();
return false;
}
}
1 นาทีแนะวิธีเรียนเก่ง
Edit TitleEdit Detail

ในการเรียนให้เก่งนั้น ต้องอาศัยทักษะต่างๆ และหมั่นฝึกฝน อดทนและขยันอยู่เสมอ ซึ่งขั้นตอนในการปฎิบัติและวางแผนในการเรียนให้เราเรียนเก่งๆนั้น มีขั้นตอนดังนี้
1. การเตรียมตัวก่อนไปโรงเรียน
ข้อคิดนี้สำคัญ และมองข้ามไม่ได้ค่ะ เราต้องรู้จักประมาณตนในการเข้านอนค่ะ โดยปกติแล้วคนที่หลังจากเลิกเรียนแล้ว เรียนพิเศษโดยเฉลี่ยประมาณชั่วโมงครึ่ง กลับบ้านมากินข้าว อาบน้ำ ทำการบ้าน และอ่านหนังสือทบทวน ไม่น่าจะเข้านอนเกิน 5 ทุ่มนะคะ
สาเหตุที่เราเข้านอนเกินเวลา
- เลิกเรียนแล้วเที่ยวเตร่ไม่รีบกลับบ้าน
- มัวแต่เล่นเกมส์ หรืออ่านหนังสือการ์ตูน ซึ่งถ้าทำเพื่อคลายเครียดก็ไม่ควรเกินครึ่งชั่วโมง และไม่ควรทำทุกวัน เพราะจะทำให้เราติดเป็นนิสัย
- เล่น msn เพื่อแชตในเรื่องไร้สาระ จะทำให้เราไม่ดูเวลา ติดเป็นนิสัย
- ดูละครไป ทำการบ้านไป
- การบ้านค้างไว้นานๆ แล้วมารีบทำเมื่อถึงวันที่จะส่งแล้ว
เมื่อเราหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ได้ ก็ขอให้เข้านอนให้ตรงเวลาทุกวันจะได้เกิดความเคยชิน และเมื่อตื่นขึ้นมาตอนเช้า ห้ามหลับต่อ และอย่าลืมรับประทานอาหารเช้าก่อนไปโรงเรียนนะคะ
2. จุดประกายในห้องเรียน
- พยายามเลือกที่นั่งด้านหน้า ใกล้ครูให้มากที่สุด
- ถ้าเลือกที่นั่งไม่ได้ จำเป็นต้องนั่งข้างหลัง ก็ห้ามปรามเพื่อนรอบข้าง อย่าให้เขาชวนคุย เพราะจะรบกวนสมาธิ
- ถ้านั่งริมหน้าต่าง ริมประตู อย่าไปสนใจสิ่งรอบข้าง
- ไม่ต้องกลัวเวลาอาจารย์ถาม ถ้าเราตั้งใจเรียนและเตรียมตัวมาดี จะทำให้เรามีความมั่นใจเวลาอาจารย์ถามคำถาม
- เมื่อมีข้อสงสัยให้รีบยกมือถามอาจารย์ทันที ไม่ต้องกลัวอายเพื่อน อย่าลืมค่ะ "ด้านได้อายอด"ค่ะ
3. หูฟัง ตามอง มือเขียน
- มีสมาธิในการฟัง
- มองสิ่งที่อาจารย์เขียนให้ดูบนกระดาน แล้วรีบจดลงไปในสมุด
- ไม่ควรฟังไป เขียนไป จะทำให้เราพลาดเนื้อหาที่สำคัญๆ เราควรฟังให้เข้าใจก่อนแล้วค่อยบันทึก
4. ชั่วโมงต่อไป ทำไงดี
- อย่าเพิ่งรีบเก็บสมุดบันทึกก่อนค่ะ ให้จดหัวข้อว่าวันนี้เรียนอะไรในสมุดอีกเล่ม เพื่อจะได้กลับไปทบทวนที่บ้าน
- จดโน้ตคำถามสั้นๆไว้ในส่วนที่เรายังไม่เข้าใจ คาบต่อไปจะได้ไม่ลืมถามอาจารย์
- ลืมความเครียด ความกังวลในคาบก่อนหน้านั้นให้หมดสิ้น
5. จุดประสงค์การเรียนรู้ หลักสูตร หรือโครงสร้างเนื้อหา มีความสำคัญ
ถ้าเรารู้จุดประสงค์การเรียนรู้ของวิชานั้นๆ จะทำให้เรามีทิศทางในการเรียน เปรียบเสมือนแผนที่ที่คอยบอกว่า เราควรเดินไปในทิศทางไหนค่ะ และมีส่วนสำคัญให้เราเลือกซื้อหนังสือไว้อ่านเพิ่มเติมด้วย
6. จับประเด็น
- ฟังอาจารย์ให้ดีๆ ตรงไหนอาจารย์เน้นคำ โดยใช้คำพูดที่หนักแน่นขึ้น
- ตรงไหนอาจารย์พูดซ้ำ 2 รอบ
- หัวข้อที่อาจารย์พูดถึงว่า ออกสอบบ่อยๆ
- แนวแบบฝึกหัดที่อาจารย์ให้มาก็บอกใบ้แนวข้อสอบค่ะ
7. สังเกตสไตล์การสอน
- ถ้าอาจารย์ชอบให้ซักถาม ก็เตรียมคำถามไว้ถามล่วงหน้า
- ถ้าอาจารย์ชอบสอนไปเรื่อยๆ ไม่สนใจว่านักเรียนตามทันหรือไม่ ก็ไม่ควรขัดจังหวะ โดยการถามคำถามอาจารย์ก่อน ให้จับประเด็นที่อาจารย์เน้นเอาเอง และค่อยถามอาจารย์นอกเวลา
- ถ้าอาจารย์บรรยายน่าเบื่อ ฟังแล้วง่วงนอน ให้ปรับเปลี่ยนความคิดใหม่ว่า เป็นการฝึกให้นักเรียนเป็นนักจับประเด็น และเป็นการฝึกความอดทนไปในตัว พยายามท้าทายตัวเองว่า ต้องเป็นคนช่างสังเกตให้ได้ เหมือนกำลังเล่นเกมนักสืบ
- อย่ามีอคติกับผู้สอน เพราะจะทำให้การเรียนน่าเบื่อ ซึ่งมีผลต่อคะแนน ความตั้งใจ และความเข้าใจตลอดเทอม
8. เรียนอย่างเข้าใจ หาใช่เพื่อสอบผ่าน
ฟังดูอาจเป็นผลดีที่ขยันเรียนอย่างเอาจริงเอาจัง แต่ความเป็นจริงแล้ว เมื่อสอบผ่านวิชานั้น ก็เป็นอันว่าหน้าที่นั้นสิ้นสุดลงแล้ว ไม่จำเป็นต้องเข้าใจเนื้อหานั้นอีกต่อไป ถ้าต้องเรียนเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ค่อยไปรื้อฟื้อความเข้าใจเพื่อการสอบออกมาใหม่ นี่เป็นความคิดที่ผิดค่ะ
ความเข้าใจอย่างแตกฉาน จะมีประโยชน์ต่ออนาคต ต่อการดำรงชีพ ถ้าคิดแบบนี้ จะทำให้สามารถอธิบายวิเคราะห์ สรุปเนื้อหาได้อย่างแม่นยำ
เพราะฉะนั้น การเรียนไม่ใช่การท่องจำเพื่อการสอบอย่างเดียว